วันพุธ

มุมพูดคุย


ใครมีเรื่องอะไรจะบอกหรือพูดคุยกับเพื่อนก็เชิญได้เลยน่ะครับ

การรักษาใบหน้าให้สวยใส


วิธีที่ 1 คือการใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ครีมกันแดดก็เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดซึ่งมีส่วนทำลายผิวให้เกิดความเ***่ยวย่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจึงเป็นเสมือนการสร้างเกราะคุ้มกันให้กับผิวหน้า ถ้าหากว่าคุณไม่ค่อยได้เผชิญกับแสงแดดแรง ๆ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ก็ถือว่าเพียงพอแล้วละค่ะ ในช่วงกลางวันที่แดดจ้า การหลบแดดถือว่าเป็นวิธีป้องกันผิวที่ดีที่สุด หรือถ้าต้องไปเผชิญแสงแดดในตอนกลางวันกันจริง ๆ คุณควรสวมหมวก ปีกกว้าง สวมแว่นกันแดด และใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้ม เนื้อหนา ซึ่งจะช่วยป้องกันการทะลุผ่านของรังสี UV ทั้ง UVA ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดผิวคล้ำและริ้วรอย UVB ที่ทำให้ผิว ไหม้เกรียมได้ในระดับหนึ่ง
วิธีที่ 2 อย่ารบกวนผิวมากเกินไป เพราะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวเลย การล้างหน้าบ่อย ๆ หรือขัดถูผิวหน้า อย่างรุนแรง ถือว่าเป็นการทำลายผิวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวและอาจเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและหยาบกร้านได้ โดยเฉพาะกับคนที่มีผิวแห้ง การล้างหน้าอย่างถูกวิธีนั้นต้องทำอย่างนุ่มนวล คุณควรเช็ดผิวอย่างเบามือ เพื่อป้องกันริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้คุณควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวด้วยเช่นกันเพราะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวเลย การล้างหน้าบ่อย ๆ หรือขัดถูผิวหน้า อย่างรุนแรง ถือว่าเป็นการทำลายผิวอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวและอาจเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ผิวเกิดริ้วรอยและหยาบกร้านได้ โดยเฉพาะกับคนที่มีผิวแห้ง การล้างหน้าอย่างถูกวิธีนั้นต้องทำอย่างนุ่มนวล คุณควรเช็ดผิวอย่างเบามือ เพื่อป้องกันริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้คุณควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวด้วยเช่นกัน
วิธีที่ 3 ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA หรือ Alpha Hydroxy Acid ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วย ผลิตเซลล์ผิวให้ขาวขึ้น และยังช่วยรักษาริ้วรอยจากแสงแดด ได้อีกด้วย ในปัจจุบันเครื่องสำอางส่วนใหญ่ก็มีส่วนผสมของ AHA ในปริมาณ 2-15% ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผิว แต่อย่างไรก็ตามคุณก็ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดแรง ๆ เพราะ การใช้ AHA จะทำให้ผิวหน้าไวต่อแดดมากขึ้น ดังนั้นเพื่อป้องกันการแพ้ ควรใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเสมอ
วิธีที่ 4 การลดริ้วรอยบาง ๆ ใต้ตาด้วยเรตินอล เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ริ้วรอยใต้ตาอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความร่วงโรยของผิวได้ โดยเฉพาะผิวใต้ตา ซึ่งจะเป็นบริเวณที่ค่อนข้างบอบบาง จึงทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย หากทิ้งไว้ก็อาจกลายเป็นรอยตีนกาได้ ดังนั้นคุณควรที่จะต้อง หาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดเลือนริ้วรอยจาง ๆ ได้ดี นอกจากนี้เรตินอลยังช่วย กระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งทำให้ผิวหน้ามีความเต่งตึงขึ้นได้
วิธีที่ 5 การทานอาหารที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอย จากการวิจัยพบว่าอาหารที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไขมันต่ำ จะช่วยให้ผิวพรรณของเราแข็งแรงพอที่จะต่อต้านสิ่งที่มาทำลายผิวให้อ่อนแอจนทำให้ เกิดริ้วรอย โดยเฉพาะแสงแดด อาหารที่ควรรับประทานเพื่อ ต่อต้านริ้วรอย คืออาหารที่มีไขมันต่ำ ลดการรับประทานเนื้อแดงและของหวาน นอกจากนี้ก็ควรเพิ่มการรับประทาน ผักใบเขียว ผลไม้ เมล็ดถั่วต่าง ๆ น้ำมันมะกอกซึ่งเป็นไขมัน ไม่อิ่มตัว รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ซึ่งอาหารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินเอ ซี และอี จะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรงและเป็นการปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อมและมลภาวะภายนอก
วิธีที่ 6 การใช้ชีวิตอย่างสมดุลผู้หญิงทำงานทั้งหลายมีสิทธิ์ผิวหย่อนยาน ไม่สดใสได้เร็วขึ้นเนื่องจากการทำงานหนัก และไม่มีเวลาพักผ่อน นอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ผิวพรรณก็ดูหมองคล้ำลง ทำให้ดูโทรมคุณควรบริหารเวลาทั้งเวลางานและเวลาส่วนตัวให้มีความสมดุล และควรหาเวลาในการออกกำลังกายบ้าง รวมถึงการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง หากคุณไม่หาเวลาคลายเครียดเสียบ้าง เมื่อปล่อย ไปนาน ๆผิวพรรณของคุณก็จะร่วงโรย หมดความสดใสและความเปล่งปลั่งของผิวสาวก็มิอาจกลับคืนมาได้อีก

สดใส ดูดีเป็นธรรมชาติ เทรนด์ เมกอัพสาว "เกาหลี"


สดใส ดูดีเป็นธรรมชาติ เทรนด์เมกอัพสาว "เกาหลี" กระแสแฟชั่นเกาหลียังแรงไม่หยุด ล่าสุด เมกอัพอาร์ติสต์ชื่อดังจากแดนกิมจิ ที่เคยร่วมงานกับดาราดังอย่าง ลี ยอง เอ จาก แด จัง กึม, ซง เอ เกียว จาก ฟูล เฮาส์, เรน และเซเว่น บินลัดฟ้ามาสาธิตการ "แต่งหน้าสไตล์เกาหลี" ในงานเปิดตัวสถาบันความงามเกาหลี DHB Korea Beauty Academy ที่อาคารฟินิกซ์ทาวเวอร์
มิสคริสติน คิม ผู้เชี่ยวชาญด้านการแต่งหน้าในสไตล์เกาหลี บอกว่า เทรนด์การแต่งหน้าสไตล์เกาหลีจะเน้นความสวยงามสดใสแบบธรรมชาติ หรือ Natural Make up เป็นเทรนด์ฮิตที่ได้รับความนิยมมานับ 10 ปี สาเหตุที่ฮิตยาวนานขนาดนี้ เพราะการแต่งหน้าสไตล์นี้ ทำให้ผู้หญิงดูสดใส อ่อนเยาว์ สำหรับในฤดูใบไม้ร่วง สาวๆ เกาหลีกำลังฮิตแต่งหน้าแบบ Natural Make up สไตล์สโมกี้อาย เน้นดวงตา "สาวๆ เกาหลีนิยมแต่งหน้าใสๆ บางๆ ดูเป็นธรรมชาติ เป็นการแต่งหน้าที่แต่งแล้วดูเหมือนไม่ได้แต่ง ซึ่งแตกต่างจากสาวไทยที่นิยมแต่งหน้าเข้ม เป็นการแต่งที่บดบังความสวยของผิว" เทคนิคการแต่งหน้าใสๆ เป็นธรรมชาติ เมกอัพอาร์ติสต์แนะนำว่า การแต่งหน้าสไตล์นี้สำคัญที่การลงรองพื้น ทาแป้งให้บางเบา และเขียนคิ้วให้เป็นธรรมชาติ ซึ่งถ้าแต่งได้ดี ก็ถือว่าแต่งหน้าสำเร็จไปแล้ว 70%
"เทคนิคการแต่งหน้าต้องลงรองพื้นและทาแป้งให้บางเบาที่สุด ส่วนการเขียนคิ้ว ให้เขียนตามรูปคิ้วเดิม ระวังอย่าเขียนคิ้วยาวเกินไป เพราะจะทำให้ดูมีอายุ เช่นเดียวกับการเขียนอายไลเนอร์ ไม่ควรเขียนตวัดขึ้น เพราะจะทำให้ตาเล็ก และการปัดแก้ม อย่าปัดแก้มให้แดงเกินไป แต่ปัดให้เห็นเป็นสีเรื่อๆ ก็พอ ส่วนลิปสติกให้ใช้ลิปกลอส โดยทาด้านในปาก เพียงแต่นี้ก็สดใสเป็นธรรมชาติแล้ว"
ลองนำไปแต่งกันดู!

เคล็ดลับรักษาสิว



สาว ๆ หลายคน ที่มีปัญหาหน้ามัน นอกจากจะต้องระวังเรื่องของการเกิดสิวแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่สาวเจ้ามักเป็นกังวลอย่างที่สุดคือ ใบหน้าที่เป็นแผลเป็นจากการเกิดสิว ซึ่งนอกจากต้องโบ๊ะแป้งให้หนาขึ้นเป็น 2 ชั้นเพื่อปกปิดรอยผลเป็นแล้ว วันนี้ก็ยังมีวิธีที่จะช่วยลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวมาฝากด้วย
โดยการแก้ไขแผลเป็นจากสิวมีขั้นตอนตามความรุนแรงมากน้อยดังนี้
1. สำหรับรอยแผลเป็นที่มีการยุบตัวลงไป แล้วไม่มีการอักเสบหลงเหลือ การจะแก้แผลเป็นต้องพยายามกระตุ้นเนื้อเยื่อบริเวณนั้นฟื้นตัวขึ้นมา คล้ายนักวิทยาศาสตร์ฟื้นฟูให้กล้ามเนื้อของคนที่เป็นอัมพฤกษ์ ให้กลับมาทำงานใหม่ หากจะเปรียบเทียบกับคนเล่นกล้ามก็ได้ เช่น นักวิ่งจะมีโคนขาใหญ่ นักกล้ามจะมีกล้ามใหญ่ไปทั่ว ก็เพราะจากการกระตุ้น แต่การกระตุ้นกล้ามเนื้อนั้นง่ายกว่ามาก เพราะเพียงแต่ยกน้ำหนักให้กล้ามเนื้ออักเสบเล็กน้อย (อาการปวดที่รู้สึกหลังจากออกกำลังกาย) การอักเสบก็จะมีขบวนการทางเคมีสร้างเนื้อเยื่อเอง ส่วนการกระตุ้นแผลเป็นมีวิธีเดียวที่จะไม่ทำให้ผิวเสียก็คือ การใช้แสงเลเซอร์ที่มีช่วงคลื่นเฉพาะ ผ่านผิวหนังชั้นบนลงไปกระตุ้นท่อเลือดและท่อน้ำเหลืองให้บวมแดงอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นก็จะมีสารสำคัญในน้ำเหลือง ที่มีอยู่ใต้ผิวหนังออกมากระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อแบบเดียวกับการกระตุ้นกล้ามเนื้อ ส่วนผลจะได้แค่ไหนนั้น สามารถจะตรวจสอบได้คร่าว ๆ คือก่อนการรักษาให้ใช้นิ้วกางบริเวณแผลเป็นรอยยุบดู หากตึงขึ้นแล้วแผลเหล่านั้นหายไปได้ แผลนั้นก็น่าจะได้รับผลการรักษาที่ดี ส่วนรอยที่ไม่หายไปจะสังเกตเห็นว่าเหมือนรอยแทะ ต้องใช้วิธีอื่น ๆ เสริมในการรักษามากกว่าการใช้เทคนิคการกระตุ้นเนื้อเยื่อดังกล่าว
2. หากแผลเป็นจากสิวนั้น ยังมีรอยแดงอยู่พร้อมกับรอยบุ๋ม แต่ไม่มีการอักเสบคล้ายหนองหรือของสกปรกอยู่ข้างล่าง อาจเสริมการรักษาแผลเป็นด้วยการกระตุ้น เลเซอร์ชนิดพิเศษ ที่กล่าวข้างต้นไปพร้อมกันจะได้ผลดีมากกว่า ข้อที่ 1
3. หากแผลเป็นจากสิวนั้น มีรอยแดงและเจ็บ แสดงถึงว่ามีการอักเสบและของสกปรก ยังไม่ถูกกำจัดอออกจากผิวหนัง แพทย์จะต้องหาวิธีเอาของสกปรกนั้นออก เทคนิคที่นิยมคือการใช้เลเซอร์ผ่าตัด ที่สามารถทำให้เกิดโพรงคล้ายโพรงขนเล็ก ๆ บนผิวหนัง แล้วใช้เครื่องมือค่อย ๆ รีดเอาของเสียออกทางโพรงนั้น คล้ายการผ่าตัดทั่ว ๆ ไปที่เอาของเสียออก ส่วนแผลที่เหลือก็จะหายในเร็ววัน และกลายเป็นแผลชนิดที่ 2 สามารถวางแผนในการดูแลรักษาแผลเป็นได้ง่ายขึ้น
4. หากหัวสิวมีการอักเสบเท่านั้นไม่มีการแตก การที่จะขยายโพรงขนด้วยแสงเลเซอร์ผ่าตัดชนิดเดียวกับชนิดที่ 3 แล้วเอาหัวสิวออกเลย ก็นับว่าเป็นความคิดที่ฉลาด ทำให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการเกิดแผลเป็นแบบที่ 3
สรุปการรักษาแผลเป็นของสิวจึงต้องมีขอบเขตโดยคร่าว ๆ ดังนี้หากท่านกำลังมีรอยแผลเป็นชนิดใดก็ตาม จากข้อที่1 ถึง ข้อที่4 กรุณาทำความเข้าใจขั้นตอนการรักษาก่อน เพื่อว่าคุณจะได้มีผิวหนังที่สวยงาม ไม่มีแผลเป็นขรุขระ

อาหารรักษาสิว


อาหารถือเป็นยาวิเศษที่ช่วยลดอัตราความเสี่ยงในการเกิดโรคภัย ไข้เจ็บได้ สารอาหารที่ดีและมีคุณค่า นอกจากจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังสามารถลดการอักเสบของสิวติดเชื้อได้ สิวเกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะมีการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่อาศัย อยู่บริเวณท่อต่อมไขมัน โดยจะเห็นเป็นตุ่มนูนแดง หากอักเสบเพิ่มขึ้นจะกลายเป็นหัวหนองและสิวหัวช้างในที่สุด การอักเสบของสิวจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดต่ำลง เช่น ในช่วงที่มีประจำเดือน อดนอน อยู่ในภาวะเครียด ดังนั้นการป้องกันการเกิดสิวที่ดีที่สุดคือการปรับสภาพร่างกายให้สมดุลเพื่อ สร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโรค ด้วยการออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้วขึ้นไป หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ สารเสพติดของมึนเมา ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่ให้แร่ธาตุสังกะสี ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดการอักเสบและการติดเชื้อของสิว ทั้งยังช่วยให้แผลที่เกิดจากสิวหายเร็วขึ้น โดยการสร้างเนื้อเยื่อผิวใหม่และซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียไป นอกจากนั้น สารอาหารประเภทวิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน ในผักผลไม้สีส้ม แร่ธาตุโครเมียม และคลอโรฟิลล์ในผักสีเขียวก็ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้เป็นอย่างดี

สิ่งมีประโยชน์ Tropical Antibiotic ที่ใช้รักษาสิว

ในกระบวนการรูปแบบหรือขั้นตอนการเกิดโรคสิวในแต่ละประเภทนั้น จะขอไม่กล่าวถึงไปอ่านได้ในบทที่ผ่านๆมา เรามาเข้าเรื่องดีกว่า ยาปฏิชีวนะโดยการทา (Tropical Antibiotic) ที่ใช้รักษาสิว มี 3 ชนิดด้วยกันคือ1. Clindamycin (CL) เป็นที่นิยมกันมากหาซื้อได้ง่ายมีหลากหลายยี่ห้อในตลาด และราคาไม่แพง ที่ใช้ในการรักษาคือ CL1% in Hydroalcoholic Solution โดยทาวันละ 2 ครั้ง 2 เดือน ใช้รักษาสิวอักเสบอ่อนๆถึงปานกลาง (สิวตุ่มแดงและสิวตุ่มหนอง)





CL มีฤทธิลดจำนวนเชื้อ P.acnes ได้ 83% และลด Surface free fatty acids ได้ 100% ลด bacterial lipase ได้ 50% และลดรอยโรคสิวอักเสบได้ 25.6-58.4% ผลข้างเคียงคิดเป็น 5% ของผู้ป่วยที่มักจะเกิดการระคายเคือง2. Erythromycin (ER) ที่ใช้ในการรักษาคือ 2% in Hydroalcoholic Solution โดยทาวันละ 2 ครั้ง 2 เดือน ใช้รักษาสิวอักเสบอ่อนๆถึงปานกลาง (สิวตุ่มแดงและสิวตุ่มหนอง)
ER มีฤทธิลดจำนวนเชื้อ P.acnes ได้ 33% และลด Surface free fatty acids ได้ 100% ลด bacterial lipase ได้ 90% และลดรอยโรคสิวอักเสบได้ 32.0 -54.4% 3. Tetracycline (TC Hydrocholoride) TC.HCL 1% in Hydroalcoholic Solution โดยทาวันละ 2 ครั้ง 2 เดือน ใช้รักษาสิวอักเสบอ่อนๆถึงปานกลาง (สิวตุ่มแดงและสิวตุ่มหนอง) TC มีฤทธิลดจำนวนเชื้อ P.acnes ได้ 33% และลด Surface free fatty acids ได้ 100% ลด bacterial lipase ได้ 90% และลดรอยโรคสิวอักเสบได้ 24.9 -52.3% ผลเสียก่อให้เกิดการดื้อยาของบักเตรีชนิด Staphylococcus 100% และ P.acnes 33% อีกทั้งยังให้ผลระคายเคือง



การรักษาสิว (Treatment of Acne Vulgaris)
แพทย์ควรได้อธิบายให้ผู้ป่วยสิวทราบถึงสาเหตุ, ระยะเวลาการรักษา, และผลดีที่จะได้จากการรักษา เพื่อที่ป่วยจะได้ใช้ยาที่ถูกต้อง เพื่อผลที่ได้จะได้รับผลลัพธ์ที่ดี การรักษาสิว1. โดยการทา (topical Therapy of Acne Vulgaris) ยาทารักษาสิวนิยมใช้กันอย่างกว้างขวางได้แก่ Benzoyl Peroxide (BP), Retinoic Acid (RA) และพวก Antibiotic เช่น Clindamycin (CL) ซึ่งชื่อยาที่ได้กล่าวไปนั้น เป็นยาที่มีตามร้านขายยาทั่วไปและมักจะหาซื้อได้ง่าย แต่การใช้งานค่อนข้างมีผลกระทบคือการเกิดการระคายเคืองของผิว (สาวๆหนุ่มๆใน pantip ที่นิยมซื้อยาทารักษาเอง จะต้องรู้จักตัวเหล่านี้แน่นอนเพราะแนะนำกันต่อๆมา ไม่รู้ใครแนะนำคนแรกเหมือนกัน ซึ่งจริงๆแล้วตัวเจ้าของ blog เองไม่ขอแนะนำไม่ใช่เพราะมันจะไม่หายแต่เพราะมีตัวที่เค้าพัฒนาขึ้นมาแล้วให้ผลดีกว่าและการระคายเคืองน้อยกว่า)ซึ่งยารักษาสิวตัวใหม่ที่มีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดการระคายเคืองที่น้อยลงได้แก่ Isotretinoin (ITN), Azelaic acid (AZA) ซึ่งเหมาะที่จะรักษา สิวคอมมิโดนและสิวชนิดอักเสบ Glycolic acid ช่วยสลายคอมมิโดนและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังที่รอยโรคเดี๋ยวในหัวข้อต่อไปจะมาบอกถึงยาที่ได้รับการพัฒนาแล้วมันให้ผลการทำงานจากการวิจัยดีกว่ายารุ่นเก่าขนาดไหนในปริมาณที่เทียบเท่ากัน2. โดยการรับประทาน (Oral Therapy of Acne Vulgaris) แบ่งออกเป็น 3 พวกด้วยกันคือ2.1) Antibiotic ยาจำพวกนี้สามารถที่จะรักษาสิวอักเสบปานกลางได้ผลดี แต่ไม่เพียงพอไปลดจำนวนเชื้อ P.acnes ลง แต่สามารถลดกรดไขมันอิสระได้ อีกทั้งยังสามารถไปยับยั้งการหลั่ง Enzymes หลายชนิด ตลอดไปจนยังไปต้าน Chemotaxis, Lymphocyte Function ได้2.2) Isotretinoin (ITN) เป็น 13-cis-Retinoic acid หรือที่เป็นที่นิยมเรียกกันว่า roaccutane, acnotin ซึ่งล้วนเป็นชื่อทางการค้าของ ITN ทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ใครเป็นสิวนิดหน่อยก็ต้องขอหมอหรือผู้รักษาเรื่อยไปว่าอยากทาน หนำซ้ำบางครั้งหมอไม่จ่ายก็ดิ้นรนหาซื้อเองเพื่อจะนำมารับประทาน จริงๆแล้วเรียกว่าอันตรายมากทีเดียวเพราะตัวนี้ใช้เฉพาะการรักษาสิวอักเสบรุนแรงและสิวชนิดที่ยากต่อการรักษา แน่นอนด้วยความแรงของมันทำให้ผลการรักษาย่อมเหนือกว่ายาอื่นทุกตัวแต่อย่างที่บอกไป คือมันใช้รักษาสิวชนิดอักเสบรุนแรงและสิวที่ยากต่อการรักษาเพราะดังนั้นถ้าหากเป็นนิดๆหน่อยๆแล้วใช้ยาตัวนี้ก็ถือว่าไม่คุ้มกับที่เสียดูจากคำเตือนที่ค่อนข้างมาก (บางคนว่าชั้นยังไม่แก่ กินไปก่อนขอสวยก่อน หารู้ไม่ว่าสวยแต่อยู่ได้ไม่นานเท่าไร)2.3) การใช้ Hormonal Preparation ก็ได้แก่พวกการรับประทาน ออร์โมนต่างๆ พวกนี้การออกฤทธิ์นั้นจะไปลดการหลั่งซีบุ่มให้น้อยลง แต่อาจมีอาการข้างเคียงคือมีรอบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ มีอาการบวมน้ำหรือการเกิดฝ้าได้ง่ายการรักษาสิวนั้น หลายคนมองว่า ทำไมรักษาสิวมาตั้งหลายอาทิตย์ ยังไม่หาย คำว่าหลายอาทิตย์นี้ ส่วนมากที่เห็นจะไม่มีใครอดทนได้ถึงเดือนกันซักเท่าไร จริงๆแล้วยาที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นการทา หรือ การกิน นั้นต่างก็ต้องใช้ช่วงระยะเวลาที่จะทำให้การรักษาหายไม่กลับมาเป็นอีก หรือถ้าเป็นก็น้อย ดังนั้นแล้วหากจะรักษากันจริงๆเรื่องของสิวก็ต้องให้เวลา ไม่ใช่จะหายทันใจเหมือนเสกมา ซึ่งแพทย์ที่ทำการรักษาต้องพยายามอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงเวลาการรักษา แต่ตามปกติแล้วอาการจะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วผู้ป่วยจะหยุดการรักษาเองซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะว่าเป็นการไม่หายขาด พอเป็นใหม่ก็โทษแพทย์ผู้รักษาว่ารักษาทำไมไม่หายขาด (ก็จะหายขาดได้อย่างไรเมื่อผู้ป่วยไม่มาให้ครบ) แต่ก็ว่าไม่ได้อีก เพราะว่าในบางที่ก็เก็บค่าบริการรักษาที่แพงเหลือหลาย ก็เป็นธรรมดาที่ผู้ป่วยย่อมมองว่าหายแล้วจะไปรักษาอีกทำไม อนิจจังวนกันไป...วนกันมา...อีกเรื่องที่อยากจะพูดเหลือเกิน นั่นก็คือผู้ป่วยที่เป็นสิวนั้นเมื่อเห็นมีสิวขึ้นไม่ว่าที่บริเวณไหนก็แล้วแต่มักจะไปหาซื้อยามารักษาเองตามร้านขายยา ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ผิด หากผู้ป่วยสามารถที่จะแยกโรคของสิวออกว่าผู้ป่วยเป็นโรคของสิวแบบไหน แล้วทำการเลือกซื้อยาและโดสที่เหมาะสมกับการรักษา ก็จะทำให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งแพทย์ ซึ่งมันก็เป็นความฝัน...เพราะในความเป็นจริงๆแล้วผู้ป่วยมักจะคิดว่า เป็นสิวก็คือสามารถใช้ยารักษาสิวตัวใดก็ได้รักษา ซึ่งย่อมส่งผลให้ รักษาเท่าไรก็ไม่หายซักที เดี๋ยวดีอยู่พักก็กลับมาหนัก บางรายก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ก็จะให้พูดว่าอย่างไรได้ เหมือนกับว่า เราผมยุ่งแทนที่จะหาหวีมาหวี กับเอาไดร์มาเป่า มันก็จะเรียบซักวันล่ะผมน่ะ ที่พูดนี้ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นสิวขึ้นมา 1 เม็ดต้องรีบแจ้นไปหาแพทย์ (ซึ่งก็เป็นหนทางที่ดี แต่อาจจะแพง) หากแต่ต้องพิจารณาดูกันหน่อย ว่าที่ขึ้นมาน่ะเป็นประเภทไหน ยาตัวไหนที่มีผลต่อโรคนั้นๆ อีกอย่างการพบแพทย์นั้นเดี๋ยวนี้เห็นไปพบแพทย์ตามคลีนิค นั่งรอกันน๊านนาน ยังไม่ทันเท่าไรไปพบแพทย์ไม่ถึง 1 นาทีก็ออกมาเอายาไปทา บางรายก็เอากินบ้าง ที่เขียนไม่ได้อยากจะว่าแพทย์ลักษณะแบบเชิงพาณิชย์แบบนี้ซักเท่าไร (เพราะเงินก็ไม่เข้าใครออกใคร) แต่ผลการรักษาก็คงนานกว่าจะหาย บางคนที่เป็นโรคสิวแบบพื้นๆที่ยาตั้วนั้นๆสูตรๆนั้น สามารถส่งผลต่อโรคได้ ก็ดีไปคือ หาย แต่ก็นั่นล่ะ หากไม่ตรงก็หากันไปเถอะ หากันให้ตายก็ไม่หายซะที เพราะดังนั้นแล้วโรคสิวให้ดีในกรณีที่เป็นหรือพบมาก ควรมีการตรวจอย่างละเอียดหน่อยว่าเป็นโรคสิวชนิดใด และอย่างเดียวหรือเปล่า ซึ่งนั่นหมายถึงการนำมาสู่การรักษาที่ถูกต้อง ได้ผล แลพประหยัดเวลากับค่าใช้จ่าย ด้วย

ยินดีต้อนรับทุกคนที่ใบหน้าเป็นสิว ครับ




สิว (อังกฤษ: Acne / Pimple / Zits) คือตุ่มเม็ดเล็กๆ ที่มีหนองเป็นไตสีขาว ๆ อยู่ข้างใน ขึ้นตามหน้า เกิดขึ้นเพราะผิวหนังมีการอุดตันอยู่ใต้รูขุมขนจากหัวสิว โคมิโดน (Comedone) ซึ่งสามารถอักเสบได้ง่ายหากมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น แบคทีเรีย หรือ ฝุ่นละอองในอากาศ และแบ่งได้อีก
สาเหตุของสิว มีหลายสาเหตุ เป็นที่ถกเถียงกันว่า สิวเกิดจากอะไร สาเหตุหลัก ๆ แบ่งได้ 2 ปัจจัยดังนี้
ปัจจัยภายใน คือ ปัจจัยที่เกิดจากร่างกายเราเอง เช่น ฮอร์โมน, กรรมพันธุ์, โรคเรื้อรัง และ ผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราตั้งแต่กำเนิด ปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยที่เกิดขึ้นจากนอกร่างกายของเรา เช่น ยา, เครื่องสำอาง, สภาพแวดล้อม, สังคม, แสงแดดและอุณหภูมิ ความสะอาด และ อาหาร ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ กระบวนการเกิดสิวสิวมักเกิดบริเวณSeborrhic area ซึ่งผิวหนังบริเวณนั้นมีPilosebaceous unit ชนิด Sebaceous follicle,เป็น follicleที่ประกอบไปด้วย small villus hair และ large multiacina sebaceous gland เมื่อมีการกระตุ้นSebaceous glandมากเกินพอดีจะสร้างไขมัน(Sebum) มามากขึ้น Sebumนี้ประกอบด้วย triglyceride,ester,waxและสารอื่นๆ หากSebumถูกผลิตมากจะระบายsebumออกทางรูขุมขนไม่ทัน และค้างในfollicle ,sebumจะกระตุ้นให้Keratinocyteสร้างkeratinมามากขึ้น และจับตัวกันแน่นผิดปรกติเกิดเป็นสิวอุดตัน(Comidone)
ต่อมาการอุดตันนั้นทำให้เกิดสภาพไร้ออกซิเจนในรูขุมขน แบคทีเรียP.acneจะเจริญเติบโตได้ดีและย่อยสลายไขมันเป็นสารที่มีความสามารถrecruitเม็ดเลือดขาวมาที่บริเวณนั้นและก่อให้เกิดการอักเสบตามมา จึงเกิดเป็นสิวอักเสบ
วิธีป้องกันและรักษาวิธีป้องกันง่ายๆ คือ การกำจัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิว ไม่ให้มันกำเริบ โดยมีข้อแนะนำต่างๆ ดังนี้
1 นอนหลับให้เพียงพอ - การนอนหลับไม่เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดสิวเช่นกัน เนื่องจากร่างกายเราอ่อนแอและเพลีย อารมณ์ขัน - อารมณ์ขัน ทำให้เรามีความสุข ปราศจากความเครียด ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุของสิว

2 กินอาหารจำพวกผัก - การที่เรากินอาหารจำพวกผัก จะทำให้เราสามารถล้างพิษออกจากร่างกายได้ และยังมีวิตามินต่างๆ ซึ่งยังช่วยทำให้เราร่างกายแข็งแรงอีกด้วย

3กินอาหารที่มีไขมันสูงแต่พอดี - หากเราเกิดอาหารไขมันสูงมากๆ เข้า จะทำให้มีไขมันอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุอีกประการของการเกิดสิว

4 ล้างหน้าให้สะอาด - การล้างหน้าให้สะอาดทำให้ใบหน้าของเราไม่สกปรก เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน แต่ควรระวัง ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้หน้าของเราเสียสมดุล การล้างหน้า ควรล้างเพียง 2 ครั้ง เช้าเย็น ยกเว้น ช่วงที่เสร็จจากกีฬา, ออกกำลังกาย หรือ ช่วงที่คิดว่าหน้าเราสกปรกมากจริง ๆ สามารถล้างหน้าได้ตามต้องการ

5 ใช้กระดาษซับหน้ามัน - หากหน้าเรามันมากๆ ลองเปลี่ยนมาใช้กระดาษซับหน้ามันแทน เป็นวิธีช่วยอีกทางหนึ่ง ควรซับแต่พอดี ไม่ควรซับทั้งวันจะดูไม่ดีและเสียนิสัย หลีกเลี่ยงการจับหัวสิว

6 ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด - เพราะฝ่ามือของเรามีทั้งความสกปรก และ แบคทีเรีย ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดสิว

7 ใช้หลังฝ่ามือลูบแทน - หลังฝ่ามือเป็นบริเวณที่เราไม่ยุ่งเกี่ยวมากที่สุด จึงเป็นบริเวณที่ค่อนข้างสะอาด ดังนั้นแล้วการใช้หลังฝ่ามือลูบคลำเล็ก ๆ น้อยๆ ถือว่าไม่ทำให้สกปรกมากนัก แต่เราควรล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ

8 ใช้ยากำจัดหัวสิว - ปัจจุบันมีอยู่ทั่วไปตามศูนย์การค้า ใ

9 ช้ยาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ - วิตามินเอมีสรรพคุณรักษาสิวอยู่ด้วย ซึ่งมียาทาใบหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามิน A สุดอยู่ สามารถสอบถามตามร้านขายยาทั่วไป ใช้ยาอย่างจริงจัง - การใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงกว่าเดิม โดยเน้นไปที่ยาประเภท เบนซอย์เพอรอกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือประเภทที่มีกรดซาลิซีลิก (Salicylic Acid) ที่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำ ข้อควรระวัง ควรเริ่มใช้จากเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ ไม่ควรใช้เปอร์เซ็นต์สูงๆ จะทำให้ผิวเราแพ้ และอาจเกิดอาการแพ้ยา ใช้ยาฉีดแบบเฉียบพลัน - แพทย์สามารถฉีดคอร์ติโชน ที่เม็ดสิวเพื่อให้สิวยุบภายในไม่กี่ชั่วโมง

10 ปรึกษาแพทย์ - หากใช้วิธีต่างๆ ไม่ได้ผล แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เป็นการดีที่สุด เนื่องจากสิวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือ ฮอร์โมน ซึ่งการปรึกษาแพทย์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ควรทำ ซึ่งปัจจุบัน ยังมีคลินิกรักษาหน้าเปิดอยู่ทั่วไป


เพื่อนๆ น้องๆ คนใหนมีคำถามจะถามก็ถามได้เลยครับ พร้อมตอบคำถามทุกถามครับ